Bollinger Bands เป็นอินดิเคเตอร์ที่แสดงความผันผวนของตลาดโดยใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (SMA) เป็นแกนกลาง โดยมีเส้นบนและเส้นล่างที่ห่างจากเส้นกลางตามค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานที่กำหนด เช่น 2 เท่าของค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน
กราฟแท่งเทียน (Candlestick) แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของราคาในช่วงเวลาที่กำหนด โดยแต่ละแท่งจะแสดงข้อมูลเกี่ยวกับราคาเปิด, ราคาปิด, ราคาสูงสุด และราคาต่ำสุดในช่วงเวลานั้น ๆ
การรวม Bollinger Bands และกราฟแท่งเทียนสามารถช่วยให้เราระบุแนวโน้มตลาดและการกลับตัวของราคาได้ดีขึ้น โดยมีวิธีการใช้ดังนี้:
เมื่อเส้น Bollinger Bands หดตัวแคบลง (Squeeze) แสดงถึงความผันผวนที่ลดลงและอาจมีการทะลุแนวรับหรือแนวต้านเกิดขึ้น เมื่อราคาทะลุเส้นบนหรือเส้นล่างของ Bollinger Bands อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของแนวโน้มใหม่
เมื่อราคาสัมผัสเส้นบนหรือล่างของ Bollinger Bands แล้วเกิดสัญญาณกลับตัวในกราฟแท่งเทียน (เช่น Hammer หรือ Engulfing Pattern) อาจแสดงถึงโอกาสกลับตัวของราคา
เมื่อราคาเคลื่อนที่อยู่ระหว่างเส้นกลางและเส้นบนของ Bollinger Bands อาจแสดงถึงแนวโน้มขาขึ้น และหากราคาเคลื่อนที่ระหว่างเส้นกลางและเส้นล่าง อาจแสดงถึงแนวโน้มขาลง
การจัดการความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญเมื่อใช้กลยุทธ์นี้ แนะนำให้ตั้งค่า Stop Loss ที่เส้น Bollinger Bands บนหรือล่างเพื่อป้องกันการขาดทุนจากความผันผวนของตลาด
สมมติว่าในกราฟ EUR/USD รายวัน Bollinger Bands เริ่มหดตัวแคบลงและมีแท่งเทียนขาขึ้นขนาดใหญ่ที่ทะลุเส้นบนของ Bollinger Bands แสดงถึงการเริ่มต้นของแนวโน้มขาขึ้นใหม่ นักเทรดสามารถพิจารณาเปิดสถานะซื้อ โดยตั้ง Stop Loss ที่เส้นกลางของ Bollinger Bands
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของกลยุทธ์นี้ ควรใช้ Bollinger Bands ร่วมกับอินดิเคเตอร์อื่น ๆ เช่น RSI หรือ MACD เพื่อช่วยยืนยันแนวโน้ม นอกจากนี้ การดูปริมาณการซื้อขาย (Volume) ก็สามารถช่วยเพิ่มความแม่นยำของสัญญาณได้
การใช้ Bollinger Bands ร่วมกับกราฟแท่งเทียนเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการวิเคราะห์แนวโน้มและการกลับตัวของตลาด อย่างไรก็ตาม ควรใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่น ๆ เพื่อเพิ่มความแม่นยำและลดความเสี่ยงจากสัญญาณหลอก