EA (ระบบการค้าอัจฉริยะ)

สำหรับนักลงทุน Forex ใหม่ EA อาจจะดูแปลกใหม่ แต่สำหรับแพลตฟอร์ม Forex และ IB (ผู้แนะนำ) แล้วมันเป็นสิ่งที่คุ้นเคยมาก EA เป็นหนึ่งในเครื่องมือหลักในการหากำไรของพวกเขา นักพัฒนา EA หลายคนจะปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ EA ของตนเพื่อทำให้แพลตฟอร์ม Forex และ IB สนใจร่วมงานกับตน เนื่องจากเป้าหมายหลักของแพลตฟอร์มและ IB คือการใช้ EA เพื่อทำการซื้อขายให้บ่อยครั้งที่สุด เพราะกำไรหลักของพวกเขาขึ้นอยู่กับปริมาณการซื้อขายของลูกค้า ยิ่งลูกค้าเทรดบ่อยเท่าไรผลกำไรก็จะสูงขึ้นเท่านั้น

วัฏจักรของ EA

อย่างไรก็ดี การใช้ EA ที่มีปริมาณการเทรดสูงจะทำให้กำไรลดน้อยลง และ EA ที่มีกำไรสูงก็มีปริมาณการเทรดต่ำ ทำไมเป็นเช่นนั้น? มาดูที่กำไรของ EA กำไรจาก EA = กำไรการเทรด + ค่าคอมมิชชั่น ถ้ากำไรทั้งหมดของ EA คือ 10 และกำไรจากการเทรดคือ 8 ดังนั้นค่าคอมมิชชั่นจะอยู่ที่ 2 ถ้าหากต้องการเพิ่มค่าคอมมิชชั่นให้สูงถึง 8 กำไรการเทรดจะลดลงเหลือ 2 เพราะกำไรทั้งหมดของ EA ยังคงเท่าเดิม ดังนั้นภายใต้สภาวะที่กำไรรวมไม่เปลี่ยนแปลง กำไรการเทรดและค่าคอมมิชชั่นจึงมีความสัมพันธ์กัน

ประเภทของ EA

EA แบ่งประเภทได้เป็น 6 ประเภทหลักๆ ดังนี้:

1. EA ที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของสกุลเงิน

ใช้ความสัมพันธ์ระหว่างสกุลเงินต่างๆ ในการเทรด ข้อเสียของ EA ประเภทนี้คือไม่สามารถทำการทดสอบย้อนหลังได้ ต้องพึ่งพาการสังเกตจากการเทรดจริงเพียงอย่างเดียว

2. EA แนวโน้ม

ประเภทที่พบได้บ่อยและเป็นที่ยอมรับมากที่สุด โดยปรกติจะทำการซื้อขายตามฟังก์ชันของดัชนีและกลยุทธ์ต่างๆ

3. EA ประเภทเครือข่ายประสาท

เป็นประเภทที่เพิ่งเริ่มพัฒนา ในแง่ของการเลียนแบบกระบวนการคิดของสมองและศึกษาการเคลื่อนไหวในอดีตอย่างต่อเนื่อง EA ประเภทนี้ไม่สามารถทำการทดสอบย้อนหลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4. EA กลุ่มตาข่าย

จะมีลักษณะเด่นชัด คืองานจำนวนมาก แต่มีการสูญเสียที่หนักหน่วง อย่างไรก็ตาม มีข้อดีคือการสร้างเส้นเงินที่ราบเรียบและให้กำไรที่มีเสถียรภาพ แต่ข้อเสียก็คือสามารถทำให้เกิดการล้มละลายได้ภายในไม่กี่วัน

5. EA ชนิดสั้น

EA ประเภทนี้มักจะมีความเสี่ยงต่ำที่สุดและประสิทธิภาพในการทำกำไรสูงที่สุด ระยะเวลาในการทำการค้านั้นสั้นมากเพียงไม่กี่วินาที อย่างไรก็ตาม ข้อกำหนดเกี่ยวกับการกระจายและความล่าช้าของแพลตฟอร์มค่อนข้างสูง

6. EA ประเภทที่รวมระบบต่างๆ

EA หลายๆ ตัวเป็นประเภทผสม บางตัวแม้จะทำการซื้อขายโดยยึดตามแนวโน้ม แต่ก็ใช้การบริหารความเสี่ยงที่เชิงรุก เพิ่มความเสี่ยงในการล้มละลายขึ้น