1. ความกังวลแรกเริ่ม

เมื่อเริ่มต้นการซื้อขาย ความกังวลคือการที่การสั่งซื้อครั้งนี้จะทำให้ขาดทุน วิธีรับมือ: ตั้งค่าหยุดขาดทุน หากการขาดทุนถึง 5% ของเงินทุนทั้งหมดให้ถอนการลงทุนออกและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด。

2. ความกังวลที่เกิดขึ้นหลังจากตั้งค่าหยุดขาดทุน

เมื่อมีการตั้งค่าหยุดขาดทุนแล้ว ความกังวลจะย้ายไปที่การขาดทุนอย่างต่อเนื่อง ในกรณีที่สามารถหยุดขาดทุนได้หลายครั้ง เงินทุนหลักอาจลดลงมาก สิ่งที่กังวลที่สุดคือตอนนี้มีแต่การหยุดขาดทุน แต่ไม่เห็นกำไร วิธีรับมือ: เพิ่มอัตราความสำเร็จในการทำงาน โดยมองหาจุดเปลี่ยนที่มีความผันผวนสูง จุดที่การเคลื่อนไหวมีโอกาสที่จะดำเนินต่อไปตามแนวโน้มในปัจจุบัน (นี่คือหัวใจของการวิเคราะห์ทางเทคนิค ซึ่งแต่ละคนใช้วิธีที่แตกต่างกัน การค้นหาจุดเปลี่ยนที่สามารถทำได้ในอัตรา 60-70% ถือว่าประสบความสำเร็จมาก)

3. ความกังวลเรื่องการทำกำไรน้อย

เมื่ออัตราความสำเร็จเพิ่มขึ้น การหยุดขาดทุนไม่ต้องกังวล แต่เริ่มเป็นห่วงว่าจะทำกำไรได้น้อย โดยเฉพาะการพลาดโอกาสใหญ่ ค่าใช้จ่ายจากการหยุดขาดทุนรวมกับสเปรด ทำให้ต้นทุนจริงสูงกว่าการคำนวณทฤษฎี หากกำไรไม่เพียงพอที่จะชดเชยการขาดทุน หรือกำไรน้อยมากจึงไม่สามารถมั่นใจได้ว่าจะทำกำไรในระยะยาว วิธีรับมือ: พยายามทำให้กำไรเพิ่มขึ้นเมื่อทำกำไรได้ หากสามารถจับความผันผวนใหญ่ได้ ต้นทุนการหยุดขาดทุนก็จะไม่ส่งผลกระทบมากนัก

4. เรียนรู้ที่จะรอ

เริ่มสำเร็จในการจับความผันผวนครั้งใหญ่ ไม่กลัวว่ากำไรจะน้อย แต่ในเวลาเดียวกันก็มีการทำธุรกรรมที่ขาดทุนเกิดจากการรอคอยอย่างมาก การขาดทุนเหล่านี้ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ แต่ยังใช้เวลาและพลังงานมากเกินไป มีผลกระทบด้านลบต่อผลรวมของการซื้อขาย วิธีรับมือ: ใช้คำพูดว่า “ไม่ให้กำไรกลับมาเป็นขาดทุน” เมื่อกำไรมีแนวโน้มที่จะกลับมาต่ำกว่าราคาเฉลี่ยให้ปิดตำแหน่ง

5. การรักษาความสมดุลในการออกจากตลาด

อันดี การขาดทุนจากการซื้อขายลดน้อยลง แต่มีอีกหลายครั้งที่พลาดโอกาสใหญ่จากการออกจากตลาดแบบเท่ากัน เมื่อเปรียบเทียบแล้ว อาจจะดีกว่าที่จะใช้การหยุดขาดทุนเดิมพันกับความเคลื่อนไหวที่ใหญ่กว่า วิธีรับมือ: ละทิ้งคำพูดว่า “ไม่ให้กำไรกลับมาเป็นขาดทุน” เปลี่ยนไปใช้วิธีการหยุดขาดทุนเพื่อเดิมพันความผันผวนใหญ่ ทำการศึกษาตำแหน่งหยุดขาดทุนใหม่พร้อมกับค้นหาสถานการณ์ที่สามารถรอคอยได้ แม้ราคาแบตล่มขาดทุน เช่นเดียวกับการรอคอยอาจช่วยให้รอได้ต่อไป (หมายเหตุ: ยิ่งมีเงื่อนไขมาก ระบบจะไม่น่าเชื่อถือมากขึ้น จึงต้องมีการตัดสินใจ)

6. ทดสอบความมีประสิทธิภาพของระบบ

ปัญหาใกล้จะถูกแก้ไขแล้ว ต่อไปคือความกังวลที่ว่าระบบที่ใช้จะสามารถใช้งานได้ในระดับไหนและนานเท่าไหร่ วิธีรับมือ: ทดลองระบบบนกราฟประวัติศาสตร์ในช่วงสิบปีที่ผ่านมาและทดลองแก้ไข จากนั้นทำการซื้อขายโดยใช้ระบบมากกว่า 50 ครั้งจนกว่าจะสามารถดำเนินการได้อย่างมีเสถียรภาพภายใต้แรงกดดันจากตลาด

7. ความเสถียรและความเสี่ยงในระบบ

ระบบสามารถดำเนินการได้อย่างเสถียร ผลการซื้อขายโดยรวมมีค่าเป็นบวก ดังนั้นไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับผลการซื้อขายเพียงครั้งเดียว แต่คุณมีความเชื่อมั่นในการชนะอย่างมั่นคงในภาพรวม อย่างไรก็ตามยังมีปัญหาใหม่ ความกังวลคือเมื่อตลาดเกิดการเปลี่ยนแปลง (เช่น การเปลี่ยนแปลงรอบระยะเวลาหรือการเปลี่ยนแปลงในนโยบายการเงินของรัฐบาล) จะทำให้ลักษณะของสกุลเงินเปลี่ยนไป ระบบอาจล้มเหลวในทันที วิธีรับมือ: ในช่วงนี้จะไม่มีวิธีแก้ไข การซื้อขายแลกเปลี่ยนเป็นสถานที่ที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดไป ไม่มีวิธีใดที่สามารถชนะได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นการทำงานตามกระแส สิ่งเดียวที่สามารถทำได้คือรักษาทัศนคติต่อสังคมและการตลาดไม่ให้เสื่อมเสีย ตรวจสอบการทำงานของระบบเมื่อเกิดผลลัพธ์ที่ผิดปกติในการซื้อขายหลายครั้ง หากยืนยันว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่พิเศษในสกุลเงิน จะต้องสร้างกลยุทธ์ใหม่

8. ความท้าทายทางจิตวิทยา

ด้านบนที่กล่าวถึงเป็นเพียงอุปสรรคทางจิตวิทยาที่เกิดจากปัญหาทางเทคนิคในการตั้งระบบการซื้อขาย ขในขณะที่ปฏิบัติจริง ยิ่งใกล้ชิดกับตลาดแลกเปลี่ยนอาจมีปัจจัยอื่นๆมากมายที่มีอิทธิพล เช่น สภาพอากาศของตลาด การเข้าหรือออกของกองทุนการเก็งกำไรขนาดใหญ่ การสั่นสะเทือนของข่าวหรือการเคลื่อนไหวของราคา ล้วนแต่สามารถทำให้ผู้ซื้อขายต้องเผชิญแรงกดดันทางจิตใจและยกเลิกการใช้ระบบที่ได้รับการวิจัย ดังนั้นหากสามารถรักษาทัศนคติที่สมดุล ระหว่างระบบและตลาด จะเป็นประโยชน์ต่อการรักษาจิตใจให้มีเสถียรภาพ