ตลาดฟอเร็กซ์เป็นตลาดที่ "เกือบจะเป็นศูนย์สมดุล"

ตลาดฟอเร็กซ์เป็นตลาดที่ “เกือบจะเป็นศูนย์สมดุล” ซึ่งหมายความว่า “เมื่อมีการทำกำไรต้องมีการขาดทุนและผลกำไรกับขาดทุนจะต้องเท่ากัน” อย่างไรก็ตามมีหลายหน่วยงานและองค์กรที่ทำการซื้อขายฟอเร็กซ์ไม่ใช่เพื่อต้องการทำกำไร เช่น การซื้อสกุลเงินต่างประเทศเพื่อการชำระเงิน การแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนของเยนญี่ปุ่น เป็นต้น ในเวลานั้น แรงจูงใจในการซื้อขายขององค์กรไม่ใช่การทำกำไรจากความแตกต่างของอัตราแลกเปลี่ยน ดังนั้นตลาดฟอเร็กซ์จึงถือได้ว่าเป็นตลาด “เกือบจะเป็นศูนย์สมดุล” โดยรวม

โอกาสในตลาดฟอเร็กซ์

ในฐานะที่เป็นตลาด “เกือบจะเป็นศูนย์สมดุล” สำหรับผู้ที่ทำการเก็งกำไรในตลาดฟอเร็กซ์ ควรมีโอกาสมากขึ้น แต่ปัจจุบันนักลงทุนจำนวนไม่น้อยกลับไม่ค่อยได้รับประสบการณ์ในการทำกำไรจากการซื้อขาย

สาเหตุของปัญหา

ผู้เขียนเชื่อว่าสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหานี้ นอกจากความต้องการด้านเทคนิค ความกล้าหาญ และนิสัยการเทรดแล้ว นิสัยการคิดอย่างมืออาชีพก็เป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดว่านักลงทุนจะสามารถทำกำไรในระยะยาวได้หรือไม่

วิธีการวิเคราะห์ตลาดที่หลากหลาย

นักลงทุนจำนวนมากที่มีความรู้เกี่ยวกับวิธีการวิเคราะห์ตลาดจะมีความรู้และเทคนิคที่แตกต่างกัน แต่ไม่มีวิธีใดที่จะเหมาะกับทุกสถานการณ์ เมื่อมองว่าตลาดฟอเร็กซ์เป็นตลาด “เกือบจะเป็นศูนย์สมดุล” หากนักลงทุนยังคงใช้วิธีการวิเคราะห์ที่ไม่มีความแปลกใหม่หรือลักษณะที่โดดเด่น ก็จะยากที่จะเหนือกว่าเหล่านักลงทุนคนอื่น ๆ ในตลาดและทำให้บรรลุเป้าหมายการทำกำไรที่มั่นคงในระยะยาว

ประสบการณ์ในการออกแบบการวิเคราะห์ฟอเร็กซ์

ความพิเศษของการวิเคราะห์การซื้อขายฟอเร็กซ์อยู่ที่ประสบการณ์การซื้อขายของนักลงทุน ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากที่จะเรียนรู้จากตำรา ต้องมีการประสบการณ์ในการทำการค้าจริง ตัวอย่างเช่น สกุลเงินยูโร ปอนด์ และฟรังก์สวิสไวต่อการเคลื่อนไหวของกราฟทางเทคนิค ในส่วนใหญ่สามารถควบคุมได้ผ่านการวิเคราะห์ทางเทคนิค ขณะที่ดอลลาร์ออสเตรเลียและเยนญี่ปุ่นจะได้รับผลกระทบจากเงินทุนระยะสั้นอย่างรุนแรง ทำให้เกิดการผันผวนอย่างมาก ในกรณีเช่นนี้การใช้วิธีการวิเคราะห์ทางเทคนิคจะมีความแม่นยำน้อยลง

การปรับปรุงการวิเคราะห์ตามความหลากหลายของตลาด

นักลงทุนที่มีประสบการณ์สามารถสัมผัสถึงว่า รูปแบบการวิเคราะห์ทางเทคนิคเดียวกันอาจมีความแม่นยำที่แตกต่างกัน เช่น รูปแบบเดียวกันอาจมีความแม่นยำสูงกว่าในกรณีของปอนด์อังกฤษแต่กลับต่ำกว่าในกรณีของยูโร นอกจากนี้ผู้เขียนเชื่อว่าในปัจจุบันค่าตัวชี้วัด RSI (14) หากอยู่ระหว่าง 20 ถึง 70 จะบ่งชี้ว่าค่าเงินยูโรมีแนวโน้มที่จะอ่อนตัวในระยะยาว ในกรณีที่ยูโรเปลี่ยนจากแนวโน้มขาลงเป็นแนวโน้มขาขึ้น สิ่งที่จำเป็นในทางเทคนิคคือต้องการให้ค่า RSI (14) อยู่ระหว่าง 30 ถึง 80 ก่อนที่จะยืนยันแนวโน้มขาขึ้นของยูโร การใช้ตัวชี้วัดนี้มีอัตราความแม่นยำที่สูง แต่สำหรับนักลงทุนที่มีความระมัดระวัง จะพบว่าในการใช้ตัวชี้วัดนี้กับปอนด์และฟรังก์สวิส ค่า RSI (14) อาจจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนการตั้งค่าเพื่อเพิ่มความแม่นยำ

การเผยแพร่ความสงสัยในวิธีการทำงาน

ในปัจจุบันนักลงทุนหลายคนเมื่อพบกับอุปสรรคในการเทรดก็เริ่มสงสัยในวิธีการของตน และมักจะเปลี่ยนวิธีการไปใช้วิธีใหม่ ๆ ซึ่งทำให้ยากที่จะพัฒนาทักษะของตน ในขณะที่นักลงทุนมืออาชีพจะปรับเปลี่ยนวิธีการวิเคราะห์ตามการเปลี่ยนแปลงของตลาด และไม่ค่อยเปลี่ยนวิธีการวิเคราะห์อย่างง่ายดาย พวกเขาจะมุ่งเน้นที่การปรับปรุงและทำให้วิธีการวิเคราะห์ของตนมีความละเอียดมากขึ้น