การเทรดในตลาดฟอเร็กซ์: ชนะหรือแพ้

ในตลาดฟอเร็กซ์ การดำเนินการจะส่งผลให้เกิดการชนะหรือแพ้ อัตราความถูกต้องในการตัดสินใจและอัตราความล้มเหลวแบ่งออกเป็น 50% อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากปัจจัยทางจิตวิทยาของมนุษย์จะทำให้โอกาสในการตัดสินใจถูกต้องลดลง ซึ่งเป็นความจริงที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ นักเทรดฟอเร็กซ์หลายคนมีจิตใจ "อยากชนะกลัวแพ้" ส่งผลให้เมื่อชนะจะได้กำไรไม่มาก แต่เมื่อแพ้กลับขาดทุนมากขึ้น ปัญหาหลักคือจิตวิทยาที่ผิดพลาดและวิธีการ ซึ่งมีสาเหตุจิตวิทยาที่ทำให้การลงทุนในฟอเร็กซ์ขาดทุนสามารถสรุปได้ดังนี้:

ครั้งแรก: มากังวลเมื่อชนะ และปล่อยไปเมื่อแพ้

นักลงทุนบางคนเมื่อคาดการณ์ได้ถูกต้องและมีกำไร จะรู้สึกวิตกกังวลกลัวว่าตลาดจะกลับทิศทาง ทำให้มักจะถอนกำไรก่อนที่ตลาดจะมีการเคลื่อนไหวที่สำคัญ และภายหลังกลับรู้สึกเสียดายว่า “จริงๆ แล้วได้กำไรน้อยมาก” ในทางตรงกันข้ามเมื่อคาดการณ์ผิดและขาดทุน พวกเขากลับสับสนและไม่รู้จะทำอย่างไร ด้วยผลกระทบของจิตใจ "รอดูอีกสักหน่อย" จึงปล่อยให้ตลาดดำเนินต่อไป ส่งผลให้ติดหล่มลึกลงไปเรื่อยๆ จนไม่สามารถกลับมาเป็นปกติได้

นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมักจะเข้าใจแนวโน้มตลาดใหญ่และกำหนดสถานที่ตั้งจุดหยุดขาดทุนอย่างชัดเจน เมื่อมีกำไรจะตามการเคลื่อนไหว แต่เมื่อลงทุนแล้วขาดทุนจะออกจากตลาดโดยทันที ทำให้สามารถยืดระยะการทำกำไรให้ยาวนานขึ้นและควบคุมความเสียหายในขอบเขตที่ตนวางไว้

ครั้งที่สอง: ฟังคนอื่นมากเกินไป ตามกระแส

การสำรวจเกี่ยวกับสาเหตุที่นักลงทุนเข้าลงทุนในตลาดฟอเร็กซ์ พบว่าเกิน 50% ตอบว่า “เพราะคนอื่นก็พูดกันแบบนี้” นักลงทุนไม่ได้ทำการวิเคราะห์อย่างเฉพาะเจาะจง ทั้งทางความคิดและการดำเนินการไม่พร้อม ขณะที่เห็นคนจำนวนมากซื้อหรือขายหุ้นก็เข้าร่วมตลาด ผลลัพธ์ที่มักเกิดขึ้นคือไม่สามารถทำกำไรได้ กลับยังต้องสูญเสียเงินบ่อยครั้ง และพยายามปลอบใจตัวเองว่า “ไม่ใช่แค่ฉันคนเดียว หลายคนก็ขาดทุนเช่นกัน” การลงทุนในตลาดฟอเร็กซ์แตกต่างจากการซื้อขายสินค้า หากในหนึ่งร้อยคนมีแปดสิบคนพูดว่าสินค้านั้นดี ก็อาจจะถือเป็นสินค้าที่ดี แต่ในหนึ่งร้อยคนแม้จะมีเก้าสิบเก้าคนซื้อลงทุนในสกุลเงินเดียวกัน ก็อาจเป็นการขาดทุนทั้งหมด การมีคนจำนวนมากไม่ได้มีความสำคัญ แต่อยู่ที่ความสามารถในการทำกำไรเท่านั้น

ครั้งที่สาม: ซื้อที่ราคาสูง ขายที่ราคาต่ำ

นักลงทุนบางคนเมื่อมีความตั้งใจจะซื้อลงทุนในสกุลเงินใดสกุลเงินหนึ่ง แต่เมื่อยังไม่สิ้นสุดของแนวโน้มกลับคิดมากและลังเล จนเมื่อแนวโน้มมีการกลับตัวราคาก็ถูกปรับสูงขึ้นหรือต่ำลงอย่างมาก นักลงทุนเหล่านี้มักจะรีบตามตลาดไป และมักซื้อที่ราคาสูงสุดในเวลานั้น ขณะที่ขายที่ราคาต่ำสุด ในขณะที่นักลงทุนกลุ่มอื่นหลังจากทำการวิเคราะห์และวางแผน ในการรอราคาที่จะทำการซื้อขาย แต่เมื่อถึงราคาที่ตั้งใจไว้กลับไม่กล้าซื้อ (ขาย) เพราะกลัวว่าจะผิดทาง ผลลัพธ์คือราคาจะพุ่งขึ้น (ลง) หลังจากเวลาดังกล่าว และผลคือรีบปรับแผนเข้าตลาด ทำให้ทั้งพลาดโอกาสที่ดีในการเข้าและขาดทุนจากการเข้าตลาดอย่างรีบร้อน