การวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาคเป็นวิธีการวิเคราะห์วัฏจักรเศรษฐกิจ ซึ่งมีจุดหมายสำคัญคือการสำรวจกฎเกณฑ์ที่เปิดเผยเกี่ยวกับความผันผวนของเศรษฐกิจ โดยการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของดัชนีเศรษฐกิจมหภาคหลักการ เพื่อคาดการณ์ทิศทางของความผันผวนเศรษฐกิจและผลกระทบที่เกิดขึ้น ให้กับการตัดสินใจในการบริหารองค์กรและการควบคุมเศรษฐกิจมหภาค
อย่างที่ได้กล่าวไว้ ความผันผวนของเศรษฐกิจแบ่งออกเป็นสี่ระยะ คือ การขยายตัว ความถดถอย ความตกต่ำ และการฟื้นฟู ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้มีระเบียบแบบแผน และสะท้อนผ่านการเปลี่ยนแปลงของดัชนีเศรษฐกิจที่แน่นอนได้ ว่าดัชนีเหล่านี้เรียกว่าดัชนีความไว ซึ่งมักจะถูกแบ่งออกเป็นสามประเภทตามลำดับรอบระยะเวลา คือ ดัชนีชี้นำ ดัชนีซิงโครนัส และดัชนีล่าช้า
ดัชนีชี้นำ หมายถึง ดัชนีที่มีการเปลี่ยนแปลงมาก่อนวัฏจักรเศรษฐกิจของประเทศ หากมีดัชนีบางตัวที่ไปถึงจุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุดก่อนกำหนดเวลาระยะเวลาเศรษฐกิจของประเทศหลายเดือน จะเรียกดัชนีเหล่านั้นว่าดัชนีชี้นำ ดัชนีเหล่านี้สามารถให้สัญญาณเกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจในปีที่กำลังจะมาถึง โดยในประเทศไทยจะมีการใช้ดัชนีชี้นำดังต่อไปนี้ ได้แก่ มูลค่าการผลิตในอุตสาหกรรมเบา มูลค่าผลผลิตพลังงานขั้นต้น ปริมาณการผลิตเหล็ก ปริมาณการผลิตแร่เหล็ก ปริมาณการผลิตโลหะมีค่า 10 ชนิด การซื้อสินค้าอุตสาหกรรมในประเทศ ปริมาณสต็อกเหล็กในประเทศ ปริมาณสต็อกปูนซีเมนต์ในประเทศ จำนวนโครงการที่เริ่มดำเนินการใหม่ จำนวนสินเชื่อการก่อสร้าง ปริมาณการส่งออกของศุลกากร มูลค่าการส่งออกของกระทรวงพาณิชย์ สินเชื่อภายในองค์กร M1 สินเชื่ออุตสาหกรรม เงินเดือนและค่าใช้จ่ายของบุคคล รายจ่ายในการจัดซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ค่าใช้จ่ายในรูปเงินสด รายได้จากการขายสินค้า รวมทั้งหมด 18 รายการ
ดัชนีซิงโครนัส หมายถึง ดัชนีที่บ่งบอกจุดเปลี่ยนของลักษณะวัฏจักรเศรษฐกิจของประเทศ โดยจุดเปลี่ยนของดัชนีเหล่านี้มักเกิดขึ้นพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงในวัฏจักรเศรษฐกิจ ซึ่งไม่ได้เกื้อหนุนการเปลี่ยนแปลงในอนาคต แต่แสดงถึงสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน ในประเทศไทยมักใช้ดัชนีเหล่านี้เป็นดัชนีซิงโครนัส ได้แก่ มูลค่าการผลิตในอุตสาหกรรม มูลค่าการผลิตในอุตสาหกรรมยอดรวม รายได้การขายในอุตสาหกรรมที่ระบุในงบประมาณ ยอดขายค้าปลีกของสินค้าในตลาดสังคม การขายสินค้าสุทธิในประเทศ การขายสินค้าสุทธิในประเทศ มูลค่าการนำเข้าในศุลกากร และปริมาณเงินหมุนเวียน M2 รายได้เงินสดในธนาคาร เป็นต้น รวมทั้งหมด 10 รายการ
ดัชนีล่าช้า หมายถึง ดัชนีที่เกิดขึ้นหลังจากวัฏจักรเศรษฐกิจที่มีการผันผวน หากดัชนีนี้มีการไปถึงจุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุดหลังจากวัฏจักรเศรษฐกิจ ประมาณหลายเดือน จะเรียกดัชนีนี้ว่าดัชนีล่าช้า โดยในประเทศไทยมีดัชนีล่าช้าหลัก เช่น การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรโดยรวมของประเทศ สินเชื่อเชิงพาณิชย์ การรับจ่ายงบประมาณจากรัฐ ดัชนีราคาเพื่อค้าปลีก ดัชนีราคาสินค้าอุปโภคบริโภค และดัชนีราคาตลาดค้า เป็นต้น รวมทั้งหมด 6 รายการ
ดัชนีเหล่านี้สามารถสะท้อนสถานการณ์เศรษฐกิจที่คาดว่าจะเกิดขึ้นได้ แต่อาจเกิดความยากลำบากในการตัดสินใจทิศทางการเคลื่อนที่ของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเมื่อบางดัชนีชี้นำมีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าครึ่งหนึ่งพุ่งขึ้นและอีกครึ่งหนึ่งลดลง เราจึงต้องสร้างดัชนีผสมเรียกว่า "ดัชนีกระจาย (Diffusion Index)" เพื่อเป็นตัวแทนของทิศทางการเปลี่ยนแปลงของกลุ่มดัชนีต่างๆ การคำนวณดัชนีกระจายคือการให้คะแนนดัชนีความไวที่เพิ่มขึ้นเป็น 1 คะแนน ดัชนีที่ไม่เปลี่ยนแปลงเป็น 0.5 คะแนน และลดลงเป็น 0 โดยมีสูตรดังนี้:
ดัชนีกระจายรวม (DIt) = [(จำนวนดัชนีที่เพิ่มขึ้น + (จำนวนดัชนีที่ไม่เปลี่ยนแปลง × 0.5)) / จำนวนดัชนีรวม] × 100 โดย DIt แสดงถึงค่าของดัชนีกระจายรวมในช่วงเวลา t ในการคำนวณจริง อาจใช้ระยะเวลาต่างๆ เช่น 1 เดือน 6 เดือน หรือ 9 เดือน ซึ่งเวลาที่นานขึ้นจะช่วยส่งเสริมการมองแนวโน้มความผันผวนในระยะสั้น ดัชนีกระจายมักจะคำนวณแยกตามกลุ่มดัชนีชี้นำ ดัชนีซิงโครนัส และดัชนีล่าช้า หรือกล่าวคือต้องมีการคำนวณดัชนีกระจายชี้นำ ดัชนีกระจายซิงโครนัส และดัชนีกระจายล่าช้า
อิงจากลักษณะการเปลี่ยนแปลงของดัชนีกระจาย นักลงทุนสามารถวิเคราะห์สภาพความเจริญรุ่งเรืองของเศรษฐกิจหรือสภาพความผันผวนของเศรษฐกิจโดยรวม โดยทั่วไปการจะแบ่งการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของดัชนีกระจายออกเป็นสี่ระยะ ได้แก่:
แรก เมื่อ 0 < DIt < 50% หมายถึง จำนวนดัชนีที่เพิ่มขึ้นน้อยกว่าครึ่งหนึ่ง แต่ยังมีปัจจัยที่ขยายตัวที่ยังเพิ่มขึ้น ขณะที่ปัจจัยที่หดตัวกำลังค่อยๆ หายไป สภาพเศรษฐกิจเคลื่อนที่เข้าสู่ช่วงการขยายตัวเรื่อยๆ ดังนั้นการทำงานของเศรษฐกิจอยู่ในช่วงหมดสภาพเศรษฐกิจ
ที่สอง เมื่อ 50% < DIt < 100% หมายถึง สภาพเศรษฐกิจมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญโดยมีจำนวนดัชนีที่เพิ่มขึ้นมากกว่าดัชนีที่ลดลง และเศรษฐกิจอยู่ในช่วงจุดเริ่มต้นของการขยายตัว เมื่อ DIt เข้าใกล้ 100% ความร้อนจากการทำงานทางเศรษฐกิจก็จะเพิ่มมากขึ้น
ที่สาม เมื่อ 100% > DIt > 50% หมายถึง จำนวนดัชนีที่เพิ่มขึ้นยังมากกว่าจำนวนที่ลดลง แต่มีอัตราการขยายตัวลดลง สภาพเศรษฐกิจอยู่ในช่วงปลายของการขยายตัว เนื่องจากมีตัวแปรบางตัวในกระบวนการที่ถึงขีดสุดแล้ว และเริ่มมีแนวโน้มลง
สุดท้าย เมื่อ 50% > DIt > 0 หมายถึง ตำแหน่งพลังงานเคลื่อนไหวที่สำคัญกลับเปลี่ยนไปอีกครั้ง โดยมีจำนวนดัชนีที่เพิ่มขึ้นน้อยกว่าดัชนีที่ลดลง ซึ่งสภาพเศรษฐกิจอยู่ในช่วงการหดตัวอย่างทั่วถึง ซึ่งเศรษฐกิจเข้าสู่พื้นที่ไม่เจริญอีกครั้ง
ตามคุณลักษณะของการเปลี่ยนแปลงในดัชนีกระจาย นักลงทุนสามารถเปรียบเทียบตามประวัติได้ โดยวิเคราะห์ความผันผวนของการขยายตัวและการหดตัวในวัฏจักรรวมถึงคุณลักษณะด้านเวลาในกระบวนการขยายตัวและจำนวนความสัมพันธ์ระหว่างการผันผวนโดยรวม นอกจากนี้ยังสามารถวิเคราะห์บทบาทของกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลักในกระบวนการขยายตัวเพื่อคาดการณ์แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจในอนาคตได้อีกด้วย
2024-11-14
การวิเคราะห์การรวมกันของ K Line ในตลาดจริง โดยเน้นรูปแบบต่างๆ ที่สำคัญในการตัดสินใจซื้อขาย
การวิเคราะห์ K Lineการซื้อขาย Forexแนวโน้มตลาดการปฏิบัติจริง
เกี่ยวกับเรา
ติดต่อเรา
เรื่องที่น่ารู้
Crescentcollege คือเว็บไซต์ที่มุ่งมั่นแบ่งปันความรู้เกี่ยวกับตลาด Forex และ Cryptocurrency เช่น Bitcoin, Ethereum, XRP, Litecoin และ Dogecoin รวมถึงข้อมูลข่าวสารที่อัปเดตอย่างรวดเร็ว ครอบคลุมทุกความเคลื่อนไหวในตลาดเหล่านี้
เราไม่สนับสนุนการชักชวนให้เทรดหรือการระดมทุนในทุกรูปแบบ เรามุ่งมั่นเป็นเพียงสื่อกลางในการแบ่งปันความรู้ที่เป็นประโยชน์เท่านั้น
**การซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงินทุกประเภทมีความเสี่ยง นักลงทุนหรือนักเก็งกำไรควรทำความเข้าใจอย่างถี่ถ้วนก่อนการซื้อขาย**
ข้อมูลลิขสิทธิ์และนโยบายการใช้งานของ Crescentcollege สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้บนเว็บไซต์
ติดต่อทางอีเมล: [email protected]
ติดต่อเพิ่มเติมทาง Line:
© 2024 Crescentcollege. สงวนลิขสิทธิ์ ห้ามทำซ้ำ คัดลอก หรือเผยแพร่ข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต
เรานำเสนอข้อมูลอย่างโปร่งใสและเป็นกลาง โดยไม่มีเจตนาในการชักชวน ชี้นำ หรือให้คำแนะนำการลงทุน
ความคิดเห็นของผู้ใช้
ยังไม่มีความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น