ความคิดแบบหวังพึ่งโชค

ตั้งแต่เมื่อเข้ามาสู่อุตสาหกรรมการลงทุน เราได้พบกับนักลงทุนมากมายที่ประสบปัญหาขาดทุนเนื่องจากหลายสาเหตุ สาเหตุเหล่านี้คืออะไร? หลังจากการศึกษาอย่างละเอียด จึงได้รวบรวมข้อคิดบางอย่างมาแบ่งปัน หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อทุกท่าน

จิตวิทยาหวังพึ่งโชค

นักลงทุนมักขาดความเข้าใจหรือไม่เต็มใจที่จะวิเคราะห์ตลาดอย่างลึกซึ้ง โดยมากจะถาม-ตอบและติดตามการเปลี่ยนแปลงของตลาดโดยขึ้นอยู่กับบรรยากาศตลาดปัจจุบัน ในช่วงที่ราคาขึ้น นักลงทุนมักคิดว่าหากซื้อเข้าไป อาจจะได้กำไรมหาศาล แต่ช่วงที่ราคาตก กลับคิดว่าได้ตกไปมากแล้ว อาจจะมีการฟื้นตัว นี่ทำให้การตัดสินใจของนักลงทุนมีความคิดที่ผิดพลาดและการดำเนินการที่เร็วเกินไป

จิตวิทยาเสียดาย

เมื่อซื้อในราคาที่สูงก็เสียดาย และเมื่อขายในราคาต่ำก็เสียดายเช่นกัน นักลงทุนหวังว่าจะบรรลุเป้าหมายผลกำไรสูงสุดในทุกการเทรด อย่างไรก็ตาม ชีวิตจริงไม่มีข้อมูลที่สมบูรณ์ นักลงทุนไม่สามารถเป็นผู้มีอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างสมบูรณ์ ทำไมต้องทำให้ตัวเองวิตกกังวลด้วยล่ะ?

จิตวิทยาใจลอย

เมื่อคิดจะเข้าซื้อ มักจะถูกอารมณ์แปรปรวนกดดัน ขาดความสามารถในการวิเคราะห์แนวโน้มราคาหลังจากนั้น เมื่อคิดจะขายกลับไม่สามารถคาดเดาแนวโน้มการเคลื่อนไหวของราคาในอนาคตได้ เกรงว่าหากปิดการซื้อขายไปแล้วราคาจะผันผวนมาก กังวลว่าจะขาดทุนหากซื้อ แต่ก็กลัวว่าจะได้กำไรน้อยหากขาย นี่เป็นทัศนคติที่ไม่ดี!

จิตวิทยาแบบอา-Q

บางคนตั้งใจจะทำการค้าในระยะสั้น แต่เมื่อประสบปัญหาก็ไม่ได้ทำการตัดขาดทุนทันที กลับถือครองหุ้นไว้นาน คิดว่ามันจะต้องมีวันหนึ่งที่ราคาจะกลับมา แต่ผลลัพธ์ก็คือราคายิ่งติดลึกลงไป ทำให้ขาดทุนมากขึ้น

จิตวิทยาความโลภ

เมื่อซื้อแล้วมีกำไรเล็กน้อย นักลงทุนมักอยากได้กำไรสูงสุด ปรารถนาให้ราคาขึ้นหรือราคาต่ำลงอย่างต่อเนื่องเพื่อประโยชน์มากขึ้น ไม่ยอมปิดการซื้อขาย เมื่อราคากลับมาทิศทางตรงกันข้าม ไม่เพียงแต่ทำให้ไม่มีผลกำไร ยังถูกขาดทุนอีก นี่คือผลจากความโลภและความหวังพึ่งโชคที่ทำให้ผู้ลงทุนรายย่อยขาดทุนอย่างมากมาย ไม่ใช่สาเหตุอื่นใด